top of page

(Review) เลือกกองทุน LTF ให้ดี ต้องมีสไตล์ต่างกัน !!


HIGHLIGHTS

  • 4 ข้อสำคัญที่ต้องตรวจสอบก่อนลงทุน

  • 3 กองทุนต่างสไตล์ที่มีผลตอบแทนน่าสนใจ


สวัสดีครับ นักลงทุนทุกท่าน กลับมาพบกันกับผมหมอนัท คลินิกกองทุนกันอีกครั้ง พักนี้รู้สึกว่าจะเจอกันบ่อยพอสมควรนะครับ ในช่วงปลายปีแบบนี้ ก็อย่าเพิ่งเบื่อผมไปซะก่อนรับรองว่ามีความรู้ดีๆ ที่จะนำมาฝากให้กับนักลงทุนแน่ๆ ครับ ผมมักจะเจอนักลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้นกับกองทุน LTF มาโพสต์คำถามในกลุ่ม Facebook ด้านการลงทุนต่างๆ เสมอว่า “เพิ่งเริ่มที่จะลงทุนกับกองทุน LTF แล้วไม่รู้ว่าจะเลือกกองทุนแบบไหนดี ต้องดูอะไรบ้าง” ซึ่งผมเองก็เข้าใจดี เนื่องจากผมเองก็เคยเป็นมาก่อนเหมือนกันในช่วงที่เพิ่งจะเริ่มต้นลงทุนกับกองทุนรวม และกองทุน LTF ครับ บางกองทุนเองก็มีชื่อคล้ายๆ กัน แต่แท้จริงแล้วมีการลงทุนที่แตกต่างกันพอสมควร หรือบางกองทุนมีเงินปันผล บางกองทุนไม่มี ดังนั้น จุดประสงค์ของกองทุนที่นักลงทุนเองเลือกเพื่อลงทุนก็จะค่อนข้างต่างกัน นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดมากมายที่นักลงทุนเองก็ต้องทราบ และเข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนที่จะลงทุนกับกองทุนนั้นๆ ครับ หากยังไม่เข้าใจ หรือว่ามีบางประเด็นที่ยังสงสัย ผมคงต้องบอกตรงๆ กับนักลงทุนในกองทุนรวมทุกท่านว่า อย่าเพิ่งที่จะลงทุนกับกองทุนนั้นๆ ครับ เนื่องจากความเสี่ยงที่สูงที่สุดในการลงทุนก็คือ การลงทุนในสิ่งที่ยังไม่ทราบ หรือรู้จักมันดีพอ ดังนั้น วันนี้ผมจะเล่าให้ฟังถึงการอ่านข้อมูลของกองทุน และจุดสำคัญที่ต้องดู ก่อนที่จะเลือกลงทุนกับกองทุน LTF กันครับ รวมถึงมาดูตัวอย่างกองทุน LTF ที่มีสไตล์การลงทุนที่แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าจะมีส่วนที่คล้ายกันก็ตามครับ 1.เราลงทุนกับ LTF เท่าไหร่ อันนี้คงต้องคำนวณอย่างถูกต้องเสียก่อน ไม่งั้นจะมีปัญหาตามมาค่อนข้างเยอะทีเดียวครับ เพราะว่าการซื้อเกินส่วนที่เกินนั้น ไม่สามารถที่จะนำไปลดหย่อนได้ นอกจากนั้น กำไรจากการขายกองทุน LTF ในส่วนที่เกินก็จะต้องนำมารวมเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีอีกด้วยครับ ยุ่งยากพอสมควรเลย 2.กองทุนเก่า ให้ดูผลตอบแทนย้อนหลังในระยะ 3-5 ปี เป็นอย่างน้อย ในกรณีที่กองทุนยังเปิดมาได้ไม่นาน ผมเองก็อยากให้ดูที่ผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนที่นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ เพื่อให้เห็นการทำงานของกองทุนที่เราจะเลือกลงทุนด้วยว่า ทำผลตอบแทนได้ดี หรือไม่ อย่างไร ส่วนการเลือกกองทุน IPO หรือว่ากองทุนออกใหม่นั้นไม่มีประวัติ หรือว่าผลตอบแทนย้อนหลังมาให้กับนักลงทุนได้เห็น ดังนั้น สิ่งที่จะทำได้ก็คือ การดูกองทุนอื่นๆ ที่มีมาก่อนของ บลจ. นั้นๆ ว่ากองทุนส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องหรือไม่ 3.เข้าใจกองทุนและเลือกกองทุนให้เหมาะกับตนเอง นักลงทุนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยทำความเข้าใจว่ากองทุนที่ตนเองจะไปลงทุนนั้น มีสไตล์การลงทุนเป็นอย่างไร และลงทุนกับอะไรบ้าง แนวคิดการลงทุนเป็นอย่างไร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้นๆ ของการลงทุนในกองทุนรวมเลยก็ว่าได้ครับ ทั้งนี้เพราะว่า สไตล์ที่ต่างกัน จะมีผลต่อเนื่องกับผลตอบแทนนั่นเองครับ ผมยกตัวอย่างง่ายๆ หากเราเลือกกองทุน LTF ที่ไปลงทนในหุ้นขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นนั้น ความผันผวนก็จะไม่สูงมากนัก ดังนั้น ผลตอบแทนที่ได้ก็มีโอกาสที่จะได้น้อยกว่ากองทุน LTF ที่มีหุ้นเล็กๆ หรือว่าหุ้นที่กำลังเติบโตนั่นเองครับ  แต่ถ้าหากนักลงทุนรักที่จะถือกองทุนหุ้นเล็ก ก็อาจจะต้องเตรียมตัว เตรียมใจเรื่องของความเสี่ยงในระหว่างการลงทุนที่จะมากกว่ากองทุนหุ้นทั่วไป หรือกองทุนหุ้นที่ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ครับ แน่นอนว่าอาจจะต้องมีการถือครองกองทุนยาวนานมากขึ้น ก็จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้ และถ้าเข้าใจเรื่องของความเสี่ยง และระยะเวลาแบบนี้แล้วละก็ นักลงทุนเองก็จะสามารถลงทุนกับกองทุนในรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างสบายใจมากขึ้นครับ 4. ตรวจสอบค่าธรรมเนียมก่อนลงทุน ผมเองอยากให้นักลงทุนเองตรวจสอบค่าธรรมเนียมก่อนการลงทุนทุกครั้งครับ ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียมในการซื้อหรือว่าขายกองทุนเอง ก็จะมีผลต่อการเงินที่จะนำไปลดหย่อนภาษี เพราะว่าหากกองทุนมีค่าธรรมเนียมในการซื้อ ส่วนที่ลดหย่อนภาษีได้นั้น คือเงินส่วนที่ลงทุนจริง เช่น ลงทุนด้วยเงิน 5,000 บาท แต่กองทุนมีการเก็บค่าธรรมเนียมในการซื้อ-ขาย 1% ก็หมายความว่า ยอดเงินที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้คือ 4,950 บาท และในส่วนค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการเองก็ควรที่จะไม่สูงมาก หรืออย่างน้อย ๆ ก็ต้องได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับการที่เราจ่ายค่าธรรมเนียมไปครับ คราวนี้เรามาดูกองทุนตัวอย่างกันบ้างว่ามีกองทุนอะไรบ้าง และมีความแตกต่างกันอย่างไรครับ เพื่อให้นักลงทุนได้เห็นภาพมากขึ้นไปด้วยว่า สไตล์การลงทุน และผลตอบแทนของแต่ละกองทุนเป็นอย่างไร และเราเหมาะกับกองทุนแบบไหนกันครับ KFLTFA50-D เริ่มที่กองทุนแรกกันครับ ช่วงนี้จะได้ยินชื่อกองทุนนี้บ่อยๆ เพราะเป็น LTF ที่ให้ผลตอบแทนย้อนหลังสูงสุดเป็นอันดับ 1 จาก Morningstar Thailandเมื่อสิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แนวคิดการลงทุน หรือว่าสไตล์การลงทุนของกองทุนนี้ก็คือ เป็นกองทุนเน้นลงทุนกับหุ้น 50 ตัวแรก ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ในรูปแบบเชิงรุก เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่ากองทุนแบบ Passive Fund ทั่วไป ไม่ยึดติดดัชนี เพื่อหาผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด หรือพูดง่าย ๆ ว่ากองทุนนี้ เป็นกองทุน Active Fund ครับ ถึงแม้ว่าจะมี 50 ต่อท้ายคล้ายกับกองทุน SET50 อื่นๆ โดยจะไม่ได้ลงทุนในหุ้น 50 ตัวใน SET50 ตามสัดส่วนของดัชนี แต่ะเน้นการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่ผ่านการคัดเลือก โดยลงทุนใน SET50 ประมาณ 70-100% กองทุนมีนโยบายการจ่ายเงินปันผล ซึ่งตั้งแต่จัดตั้งกองทุนถึงปัจจุบัน กองทุนมีการจ่ายเงินปันผลทั้งสิ้น 11 ครั้ง คิดเป็นจำนวนเงิน 5.68 บาท ไปแล้วครับ และได้ดาวจาก Morningstar ไปถึง 4 ดาวครับ ถ้าดูผลตอบแทนยาวๆ 3-5 ปี ก็ถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ เช่นกัน  KFLTFEQ มาต่อกันด้วยกองทุนกองที่ 2 กันครับ เป็นกองทุนที่มีสไตล์อีกแบบคือ หาหุ้นที่มีการเติบโตสูง โดยเฟ้นหาบริษัทในทุกอุตสาหกรรม ทุกขนาดที่มีโอกาสเติบโตสูงกว่าตลาด ซึ่งมักจะมีลักษณะดังต่อไปนี้ครับ  1. ต้องเป็นผู้นำในธุรกิจ หรือ กลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆ  2.ต้องมีโอกาสทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง  3.ต้องมีศักยภาพในการทำกำไรสูงอีกด้วยครับ ดังนั้น หากนักลงทุนชอบหุ้นที่มีการเติบโตสูงๆ กองทุนนี้ก็นับว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจครับ ซึ่งหากกองทุนเลือกหุ้นได้ถูกต้อง ถูกจังหวะแล้วละก็ ผลตอบแทนไม่ต้องพูดถึงครับ ก้าวกระโดดอย่างแน่นอน อย่างถ้าดูย้อนหลัง 1 ปี ณ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา ก็ให้ผลตอบแทนสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในกลุ่ม LTF ครับ KFLTFSM-D             ส่วนกองทุนสุดท้ายนี้ ถือว่าเป็นกองทุนยอดฮิตที่แต่ละ บลจ. ทยอยออกมากันเยอะมากขึ้นครับ นั่นก็คือ กองทุนที่เน้นการลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก-ขนาดกลางนั่นเองครับ ซึ่งกองทุนนี้จะเน้นหุ้นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูง โดยคัดเลือกหุ้นรายตัวที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีศักยภาพเติบโตดี หากมีกองทุนนี้อยู่ในพอร์ต ก็จะช่วยลดการยึดติดจากหุ้นขนาดใหญ่ที่เคลื่อนไหวไปตามสภาวะตลาดครับ             ดังนั้น นอกจากมีลุ้นเรื่องผลตอบแทนที่ดีแล้ว ยังได้เรื่องของการกระจายความเสี่ยงไปอีกทางด้วยครับ เหมาะกับคนที่มี LTF ที่เน้นลงทุนหุ้นใหญ่อยู่แล้ว และเหมาะกับคนที่ได้อยากเงินปันผลออกมาใช้ระหว่างการลงทุนระยะยาวอีกด้วยครับ             ทั้ง 3 กองทุนในปีนี้ ผมถือว่าทำได้ค่อนข้างดีครับ โดยทำผลตอบแทนชนะ SET TR อยู่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกองทุน KFLTFSM-Dทำผลตอบแทนได้เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุนหุ้นเล็กด้วยกัน และทำผลตอบแทนได้สูงกว่า SET TR อยู่เกือบเท่าตัวเลยละครับ SET Total Return Index +14.49% (as of 1/11/17) ก่อนจะจากกันไป ผมมีเคล็ดแต่ไม่ลับใหักับนักลงทุนทุกคน นั่นก็คือ นักลงทุนเองก็ควรที่จะเลือกกองทุน LTF เพื่อลงทุนจริงไม่ควรเกิน 3 กองทุน  ถ้าอยากจะกระจายความเสี่ยง ผมคิดว่านักลงทุนควรมองหากองทุนที่มีความแตกต่างกันในเรื่องของสไตล์การลงทุน และแนวคิดการคัดเลือกหุ้นในกองทุนครับ เช่น มีกองทุนหุ้นใหญ่ + กองทุนหุ้นเล็ก + กองทุนหุ้นเติบโต หรือจะแนวทางการลงทุนอื่นๆ ร่วมด้วยก็ได้ เช่น Passive Fund หรือกองทุนอ้างอิงดัชนีที่ผลตอบแทนจะขึ้นลงตามดัชนี และมีค่าธรรมเนียมค่อนข้างถูก เพื่อให้พอร์ตการลงทุนมีการกระจายไปในหุ้นหลายๆ กลุ่มครับ หรือจะเลือก LTF ที่มีนโยบายแบบเปิดกว้างยืดหยุ่น ลงทุนในหุ้นได้หลากหลายกลุ่มก็น่าสนใจครับ ดังนั้น ผมอยากให้นักลงทุนตั้งใจ และตัดสินใจเลือกกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ และเข้าใจแนวทางการลงทุนของกองทุนนั้นๆ เป็นอย่างดี เพื่อจะได้ลงทุนได้อย่างสบายไป และไม่ต้องไปถือกองทุน LTF ให้มากมายวุ่นวายหลายกองทุนเกินไป เพราะว่ามันยากในการบริหารจัดการแถมอาจไม่ช่วยให้ได้ผลตอบแทนที่กว่าด้วยครับ  สุดท้ายนี้ขอให้นักลงทุนทุกท่าน โชคดีในการซื้อกองทุน LTF ในช่วงปลายปีแบบนี้นะครับ สวัสดีครับ

ดู 10 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด
bottom of page