top of page
รูปภาพนักเขียนinvestcorner1

“ภาวะฟองสบู่” กับหน้ากากอนามัย



ปีนี้ดูเหมือนจะเป็นปีที่ยากลำบากจริง ๆ ไหนจะฝุ่น​ ไหนจะเรื่องไวรัสโคโรนา​ พี่ทุยจึงไม่แปลกใจสักนิด​เลยที่จะเกิด​ “หน้ากากอนามัยเอฟเฟกต์​”​ หรือ “ภาวะฟองสบู่” กับหน้ากากอนามัย ถ้าเป็นละครเวที​ ตอนนี้หน้ากากอนามัยคงกำลังไปยืนโลดแล่นอยู่กลางเวทีและมีแสงไฟสปอตไลท์​ส่องมาจากทุกทิศทาง​ เพราะเรื่องราวของเค้ากำลังฮอตเหลือเกิน​ ทั้งเรื่องการขาดแคลนในหลายพื้นที่​ จนหลายคนมีความคิดว่าส่วนนึงอาจจะเพราะมีผู้กักตุนสินค้าหรือเปล่า​

ด้วยความต้องการมหาศาลนี้จึงส่งผลให้ราคาของหน้ากากอนามัยพุ่งขึ้นสูง​ การที่ราคาสูง​ ส่วนนึงอาจจะมีคนแอบขายเกินราคาจริง ๆ​ แต่ส่วนนึงก็เพราะต้นทุนมาแพงจริง ๆ​ เหมือนกันนะ​ ไม่ใช่เฉพาะผู้ซื้อที่ต้องซื้อของแพงขึ้นหลายเท่า​ แต่บางทีผู้ขายคนกลางเองก็โดนต้นทุนแพงขึ้นหลายเท่าด้วย​เหมือนกัน​ (พี่ทุยแอบเห็นมาในกลุ่มขายส่งของพวกผู้แทนร้านยา​ เค้าขายส่งหน้ากากอนามัยธรรมดากันชิ้นละ​ 10-12​ บาทเลยนะจ๊ะ​ จากที่ก่อนหน้านี้ทุนมาถูกกว่านี้หลายเท่า)​ ซึ่งบอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใดเลย กับการที่ราคาของหรือสินค้าใดที่พุ่งกระโดดเพิ่มขึ้นในลักษณะนี้

ก่อนหน้าที่เราจะคุยกันต่อ​ พี่ทุยขอเกริ่นให้ฟังคร่าว ๆ​ เรื่องกลไกราคาที่ขับเคลื่อนสินค้าทุกประเภท​ก่อน คือราคาสินค้าทุกสิ่งทุกอย่าง​ในโลกเนี่ยจะขยับขึ้นลงตามความต้องการซื้อ (demand) ​และความต้องการขาย (supply)​ ถ้ามีความต้องการมากหรือของนั้น ๆ​ มีความขาดแคลน​มากก็จะส่งผลให้ราคาสูงลิ่ว ​อย่างหน้ากากอนามัยในตอนนี้​ ในทางกลับกัน​ เมื่อมีสินค้านั้น ๆ​ มาหมายล้นหลามหรือไม่ค่อยมีความต้องการซื้อ​ สินค้านั้น ๆ​ ก็มีจะราคาถูกลง​

บ่อยครั้ง​ ความต้องการซื้อก็มีมากเหลือเกินจนหลายคนหลงลืมเหตุผลและความเป็นจริง​ ถ้าเป็นหุ้นก็จะเป็นหุ้นปั่น​ ในลักษณะ​ที่มีคนเติม​ offer เท่าไหร่​ ก็มีคนยอมเคาะขวารัว ๆ​ กวาดซื้อไม่อั้น​ ส่งผลให้ราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ​ การไล่ราคาจะเป็นต่อไปอย่างนี้ช่วงนึง​ และในที่สุดเมื่อผู้คนได้สติก็จะเริ่มคิดทบทวนว่า​ สินค้าที่เราซื้อมาด้วยราคาแพง ๆ​ นั้น​ เงินที่จ่ายไปคุ้มค่ากับมูลค่าหรือปัจจัยพื้นฐาน​ของเค้าหรือเปล่า​ จากนั้นเมื่อตระหนักได้ว่าซื้อก้อนกรวดไปในราคาเท่าซื้อเพชรก็จะเกิดมหกรรมเทหรือพูดง่าย ๆ​ ว่าเกิด “ภาวะฟองสบู่” แตก​ ซึ่งเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้วในประวัติศาสต​ร์​ พี่ทุยขอเอากรณีเด่น ๆ​ ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อนมาเล่าให้ฟังนะ​


ฟองสบู่ดอกทิวลิป (the Dutch Tulip mania bubble)

อาจเรียกได้ว่านี่คือเหตุการณ์​ฟองสบู่แตกครั้งเเรกที่มีการบันทึกในประวัติศาสต​ร์​ เพราะเกิดขึ้นตั้งแต่ปี​ 1636-1637 ในประเทศเนเธอร์แลนด์​ ในตอนนั้น​เศรษฐกิจ​ของประเทศเนเธอร์แลนด์ดี๊ดี​ คนรวยเต็มท้องถนนไปหมด​ และในทุกยุคทุกสมัย​ มนุษย์เราก็ล้วนเเล้วเเต่อยากมีเครื่องยืนยันฐานะของตัวเองทั้งนั้น​ สุดท้ายหวยก็มาออกที่ดอกทิวลิป​ ในตอนนั้นดอกทิวลิปเป็นดอกไม้หายาก​ ในเนเธอร์แลนด์​หรือแม้เเต่ในยุโรปก็ไม่มี​ ผู้คนก็เลยนิยมกันเพราะสวยแปลกตา​ หายาก​ เมื่อนิยมกันมาก​ ดอกทิวลิปที่มีจำนวนจำกัดก็ไม่เพียงพอกับความต้องการ​ สุดท้ายจึงมีการทำสัญญาซื้อขายหัวทิวลิปล่วงหน้า

ในตอนแรกหัวทิวลิปก็มีราคา​ 5-15​ กิลเดอร์​ หรือประมาณ​ 100-300​ บาท ​​(ปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยน​อยู่ที่ประมาณ​เกือบ​ 20​ บาทต่อ​ 1 กิลเดอร์)​ แต่ก็มีการเก็งกำไรจนราคาพุ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ​ กว่า​ 100 กิลเดอร์หรือประมาณ​ 2,000 บาท​ ลองนึกภาพดูกันนะว่า​ 2,000​ บาทเมื่อเกือบ​ 400​ ปีที่แล้วจะมีค่ามากมายขนาดไหน​ อิอิ

มีบันทึกว่าถึงขนาดมีคนเอาที่ดิน​เนื้อที่เกือบห้าหมื่นตารางเมตรมาแลกกับหัวทิวลิปแค่หัวเดียวเลยนะ​ แต่เเล้วไม่นานผู้คนก็เริ่มตาสว่างว่าสิ่งที่พวกเค้าบ้าคลั่งกันเนี่ย​ แท้จริงแล้ว​ มูลค่าพื้นฐาน​ของมันคือดอกไม้แปลกตาเท่านั้น​ และราคาดอกทิวลิปก็ดิ่งลงเหวลดลงจากเกือบ​ 200​ กิลเดอร์​มาเหลือเพียงไม่ถึง​ 10 กิลเดอร์ในเวลาไม่ถึงเดือน

หลังจากฟองสบู่ดอกทิวลิปแตกดังโพล๊ะ​ เศรษฐ​กิจของเนเธอแลนด์​ก็ซบเซาต่อเนื่องไปอีกหลายปี


ฟองสบู่​ South Sea Bubble

บริษัท South Sea ก่อตั้งขึ้นมาในปี​ 1711 หรือเมื่อประมาณ​ 300​ กว่าปีก่อน​ ในช่วงนั้นรัฐบาลอังกฤษต้องการใช้เงินเยอะ​เพราะเป็นช่วงที่เกิดสงครามในยุโรป​ จึงต้องกู้หนี้ยืมสิน​ ก่อนหน้า​นั้นรัฐบาลก็กู้เอกชนทั่วไปอะแหละ​ และต่อมาก็ได้เปลี่ยนมาดีลกับบริษัท​  South Sea แทน​ โดยกู้จาก South Sea แทนด้วยอัตราดอกเบี้ย 6% ต่อปี​ แลกกับการที่บริษัท​จะได้สัมปทานผูกขาดทำการค้าในแถบทะเลใต้ทั้งหมด​ ซึ่งธุรกิจ​ของบริษัทนี้ก็คือการค้าฝ้าย​ รวมถึงการค้าทาส​ โดยมีผู้ถือหุ้นทุกระดับตั้งเเต่ชาวไร่ชาวนาไปจนถึงเชื้อพระวงศ์​ ขนาดพระเจ้าจอร์จ​ที่​ 1 ที่เป็นกษัตริย์​แห่งอังกฤษ​ตอนนั้นก็​ยังเอาด้วย​ หรือแม้เเต่เซอร์ไอแซค​ นิวตันผู้โด่งดังก็เป็นอีกคนที่ร่วมลงทุนหุ้นของบริษั​ทนี้ คงสร้างความรู้สึกขัด ๆ​ ให้กับหลายคนไม่น้อยเลย​ เมื่อรู้ว่า 300 กว่าปีที่เเล้ว​ การค้าทาสเป็นเรื่องเสรีและได้รับการสนับสนุนอย่างเปิดเผย​ ขนาดราชวงศ์​ยังเออออห่อหมก​ด้วยเลย! ในเวลานั้นหุ้นของบริษัท​ South Sea เป็นอะไรที่บูมมากและคงดูมั่นคงเหลือเกิน​ มีการเพิ่มทุนกี่ครั้ง​ คนก็แห่ไปซื้อกัน

ก็ในเมื่อมีราชวงศ์​ถือหุ้น​ แถมยังทำธุรกิจ​ผูกขาดอีก​ ยังมีอะไรที่ต้องกลัวอีกล่ะ? ราคาหุ้นจึงพุ่งขึ้นเรื่อย ๆ​ แบบหุ้น​ Tesla ยังต้องอาย​ เพราะในปีเดียวราคาก็พุ่งขึ้นจาก​ 100 ปอนด์ต่อหุ้นเป็น​ 1,000​ ปอนด์ต่อหุ้น

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า​ ในตอนนั้นหุ้น​บริษัท​ South Sea คงจัดเป็นหุ้น​ “ของมันต้องมี”

แต่ลางร้ายก็เริ่มปรากฏเมื่อ​ในปี 1720  เริ่มมีข่าวลือว่าธุรกิจ​ของบริษั​ทไม่ได้กำไรดีขนาดนั้น​ จึงเกิดการเทขายหุ้นกันลงมาอย่างรุนเเรงจนสุดท้าย​บริษัท​ก็ล้มละลายไปด้วยอายุเพียง​ 9​ ปีเท่านั้น​ และหลังจากนั้นรัฐบาลอังกฤษ​ก็ประกาศห้ามทำการซื้อขายหุ้นของทุกบริษัท​ หุ้นกลายเป็นของแสลง​ กลายเป็นของต้องห้ามของคนอังกฤษ​ไปเลยในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

คนดังที่เรารู้จักกันดีอย่างเซอร์ไอแซค​ นิวตันก็เจ็บตัวสาหัสไม่น้อย​ จากการทุนในหุ้น​ South sea ไป​ 22,000 ปอนด์​ เค้าถึงขนาดสั่งห้ามไม่ให้คนพูดชื่อ​ South Sea ให้ได้ยินและกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าสามารถคำนวณการเคลื่อนที่ของดวงดาวบนฟากฟ้าได้​ แต่ไม่อาจคำนวน​ความบ้าคลั่งของฝูงชนได้”

จะเห็นได้ว่า​ ฟองสบู่แตกไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเคยเกิดขึ้น แต่เคยทำให้ผู้คนแตกตื่นมาตั้งเเต่หลายร้อยปีที่แล้ว เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเเค่ไหน​ สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงก็คือเรื่องอารมณ์​ อย่างความโลภและความกลัวของมนุษย์​ เรียกได้ว่าทั้งดอกทิวลิปและหุ้นของบริษัท South Sea ขึ้นเเรงขนาดไหน ถึงเวลาก็โดนเทลงเเรงขนาดนั้นหรือมากกว่านั้นเลย จำไว้ว่าอะไรก็ตามที่ราคาสูงเวอร์​เกินมูลค่าพื้นฐาน​ที่มี​อาจถูกลากราคาขึ้นชั่วขณะหนึ่ง​ แต่ก็เหมือน​ฟองสบู่ที่รอวันแตก​ ถ้าลุกช้า​ นอกจากจะต้องจ่ายรอบวงเเล้ว​ หน้าจะเปื้อนน้ำสบู่เวลาฟองแตกด้วยนะและเกิดเหตุการณ์ฟองสบู่ก็คงจะอยู่กับเราไปอีกนานแสนนานเพราะมันเล่นกับความโลภของมนุษย์นั้นเอง

ดู 2 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด

Comentarios


bottom of page