ตอนนี้ต้องบอกเลยว่า พวกเรากำลังอยู่ในยุคที่ใครก็ตามที่ไม่บริหารเงินให้ดี ไม่รู้จักเรื่องการลงทุน จะมีแต่ความลำบาก เมื่อก่อน เราอาจจะแค่ฝากเงินในธนาคารก็นอนกินดอกเบี้ยแบบชิว ๆ แต่ด้วยสภาวะที่ดอกเบี้ยต่ำติดดิน แถมเงินเฟ้อก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถ้าเราเอาแต่ฝากเงินแค่กับธนาคารมู ลค่าเงินของเราก็มีแต่จะลดลงอย่างต่อเนื่องแน่นอน
แล้วที่สำคัญ ถ้าเราลองสังเกตดูดีดี เราจะเห็นว่ารายได้เราเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น การลงทุนเลยเป็นสิ่งที่จำเป็นมากขึ้น จนจะกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ในทุกวันนี้อยู่แล้ว
แต่แอดมินก็เข้าใจว่าหลาย ๆ คนก็มีงานประจำที่ต้องทำ มีธุรกิจที่ต้องดูแล จะให้เอาเวลามานั่งติดตามการลงทุน ซื้อ ๆ ขาย ๆ ก็เป็นอะไรที่ทำได้ยากอยู่เหมือนกัน สำหรับคนทั่วไป พี่ทุยเลยมักจะแนะนำว่า ลองศึกษาเรื่องการลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” ดู เพราะมีข้อดีหลากหลายอย่างมาก ๆ ที่จะช่วยทำให้การลงทุนเป็นเรื่องง่าย ด้วยเหตุผล 3 ข้อ ได้แก่
1. มีมืออาชีพคอยบริหารจัดการเงิน
เราจะมี “ผู้จัดการกองทุน” คอยบริหารจัดการพอร์ตของกองทุนที่เราซื้อไว้ โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาซื้อ ๆ ขาย ๆ เอง เรามีหน้าที่เลือกผู้จัดการกองทุนที่เจ๋งและเก่งก็เพียงพอแล้ว
2. เริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยเงิน 1 บาท
การลงทุนผ่านกองทุนรวมไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ บางกองทุนเริ่มง่าย ๆ แค่ 1 บาทก็สามารถลงทุนได้ มีหลากหลายกองทุนรวมให้เราเลือกซื้อเลือกลงทุนได้เลย
3. มีสภาพคล่อง
เมื่อเราถอนการลงทุนหรือตัดสินใจขายกองทุนรวมออกไป ก็ใช้เวลา 1-6 วัน ขึ้นอยู่ประเภทของกองทุนรวม เงินสดก็กลับมาในบัญชีเราเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตาม มีกองทุนบางประเภทที่ต้องถือตามระยะเวลาที่กองทุนกำหนด จึงมีข้อจำกัดเรื่องสภาพคล่อง เช่น กองทุน LTF มีเงื่อนไขถอนเงินได้เมื่อครบกำหนด 7 ปี กองทุน RMF/กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ถอนเงินได้เมื่ออายุ 55 ปี หรือกองทุนปิด ที่ถอนได้เมื่อครบกำหนดอายุเท่านั้น หรือมีกองทุนปิดบางประเภท ที่สามารถไปซื้อขายในตลาดรอง (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) ได้ เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เป็นต้น
4. เลือกระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับเป้าหมายการเงินของเราได้
กองทุนรวมมีให้เราเลือกลงทุนสูงถึง 8 ประเภท โดยประเภทที่ 1 จะเสี่ยงต่ำที่สุดและประเภทที่ 8 จะเป็นการลงทุนที่เสี่ยงสูงที่สุดและต้องการความเข้าใจเรื่องจังหวะการลงทุนมากกว่าประเภทอื่น ๆ
5. มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย เพิ่มโอกาสสร้างกำไร หรือกระจายความเสี่ยงได้
กองทุนมีหลากหลายประเภท โดยแต่ละประเภทมีการลงทุนในสินทรัพย์ที่แตกต่างกันไป เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมหุ้น กองทุนผสม เป็นต้น แม้แต่กองทุนรวมหุ้นเองอาจมีนโยบายที่แตกต่างกันไป อาทิ เน้นรับเงินปันผลสูง เน้นทำกำไรจากส่วนต่างราคาจากหุ้นขนาดใหญ่
6. ได้สิทธิประโยชน์เรื่องภาษี
มีกองทุนรวมบางประเภทได้รับสิทธิประโยชน์เรื่องภาษี ไม่ว่าจะเป็น กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) รวมไปถึงกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ทั้งนี้ต้องทำตามเงื่อนไขที่กองทุนกำหนดด้วย เช่น LTF ต้องถือจนครบ 7 ปีปฏิทิน RMF ต้องถือจนครบอายุ 55 ปี เป็นต้น
สำหรับคนที่ทำงานประจำอยู่ “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund)” เป็นทางเลือกการลงทุนที่ดีมาก ๆ เพราะนอกจากได้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีแล้ว ยังมีประโยชน์อีกมากกกก ก.ไก่ล้านตัว
ไม่ว่าจะเป็นการหักออมก่อนใช้ที่ได้ประสิทธิภาพที่สุด เพราะเงินที่สะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะถูกหักจากเงินเดือนแบบอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยทำให้เราออมเงินได้แบบจริง ๆ จัง ๆ
นอกจากนี้ ยังมีนายจ้างช่วยจ่ายสมทบเข้ากองทุนให้กับเราเหมือนกับเราได้เงินเดือนเพิ่มฟรี ๆ แบบนั้นเลย บริษัทใครมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นสวัสดิการให้ พี่ทุยแนะนำเสมอว่า ต้องหักให้หนัก หักให้เต็มสิทธิไปเลย เพราะตัวเราเองเนี้ยแหละที่จะได้ประโยชน์เต็ม ๆ
แล้วด้วยเงื่อนไขภาษีของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ทำให้กลายเป็นกองทุนเกษียณอีกก้อนนึงของตัวเราได้แบบสบาย ๆ หักออมไปเรื่อย ๆ ง่าย ๆ สมมติว่าเราหักแบบจัดหนักจัดเต็ม 15% แล้วนายจ้างจ่ายสมทบให้อีก 5% นั้นเปรียบเสมือนกับเราออมเงินได้เดือนละ 20% ของรายได้ ซึ่งถือว่าเป็นเงินเก็บไว้ใช้ยามเกษียณได้ไม่น้อยเลยทีเดียว พี่ทุยเชื่อ หลาย ๆ คนตอนนี้แค่ออม 10% ยังลำบากเลย (จริงมั้ยล่ะ ฮี่ฮี่)
นอกจากจะต้องคัดเลือกกองทุนรวมที่ดี สร้างผลตอบแทนได้ดี มีคุณภาพ มีธรรมาภิบาล สิ่งที่เราห้ามลืมเลยก็คือ เรื่องของ “ค่าธรรมเนียม” เพราะส่งผลต่อผลตอบแทนของกองทุนรวมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเป้าหมายเพื่อการเกษียณที่เป็นเป้าหมายระยะยาว
สมมติว่ากองทุนรวม A และ กองทุนรวม B สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้ 10% ต่อปีเท่ากัน แต่กองทุนรวม A คิดค่าธรรมเนียม 1% แต่กองทุนรวม B คิดค่าธรรมเนียม 1.5%
เมื่อเวลาผ่านไป 20 ปี ความแตกต่างเพียง 0.5% นั้น ถ้าเราเอาเงิน 100 บาท ลงทุนผ่านกองทุนรวม A เราจะมีเงินทั้งหมด 560 บาท แต่ถ้าลงทุนผ่านกองทุนรวม B จะทำให้เรามีเงินทั้งหมดเพียงแค่ 511 บาทเท่านั้น นั่นแปลว่าผลตอบแทนของเราหายไปมากกว่า 50% ในระยะเวลา 20 ปี !
นอกจากนี้ ยังมีค่าธรรมเนียมในการซื้อขายอีกด้วย ดังนั้น ไม่ควรซื้อขายหน่วยลงทุนบ่อย ๆ เพราะจะทำให้เราเสียค่าธรรมเนียมมากขึ้นด้วย
เรื่องสำคัญอีกเรื่อง เราควรดูด้วยว่ากองทุนนั้น ๆ ไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทไหน มีการกระจุกตัวในที่ใดที่หนึ่งหรือไม่? เราอาจเลือกลงทุนในหลายกอง หรือหลาย บลจ. จริง แต่กองทุนเหล่านั้นอาจไปลงทุนในสินทรัพย์เดียวกัน อุตสาหกรรมเดียวกัน หรือผู้ออกรายเดียวกัน เป็นสัดส่วนที่สูงก็ได้ แบบนี้จะเกิดความเสี่ยงจากการลงทุนแบบกระจุกตัวได้
โดยหากเกิดความเสียหายกับของที่เราลงลงทุน เราจะเสียหายมาก ดังนั้น ควรดูการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนด้วยนะครับ และทุกครั้งก่อนตัดสินใจลงทุน อย่าลืมดูข้อมูลสำคัญของกองทุน โดยสอบถามรายละเอียดจากคนขาย และอ่านหนังสือชี้ชวนของกองทุนที่เราจะลงทุนด้วยนะจ้ะ
แอดมินแนะนำว่าถ้าใครอยากได้ข้อมูลเรื่องการลงทุนผ่านกองทุนรวม อยากศึกษาเพิ่มเติม
สามารถสอบถาม ทางสมาพันธ์ได้เลย เขามีความรู้เรื่องกองทุนรวมอัดแน่นจัดเต็มแน่นอน
สุดท้ายแล้วเมื่อได้ชื่อว่าการลงทุน ยังไงก็มีความเสี่ยง แต่ในภาวะปัจจุบันที่ผลตอบแทนจากเงินฝากนั้นน้อยนิด การไม่ลงทุนก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ดังนั้นถ้าเรามีความรู้เรื่องการลงทุน เข้าใจสินทรัพย์ที่เรากำลังจะลงทุน เลือกลงทุนตามความเสี่ยงที่เรารับได้ เลือกกองทุนให้ตรงกับวัตถุประสงค์/เป้าหมายของเรา มีการติดตามพอร์ตการลงทุน และปรับพอร์ตการลงทุนให้ตรงกับเป้าหมายการลงทุนเราเสมอ (rebalance)
(ตามขั้นตอนการลงทุนแบบครบวงจร 5 ขั้นตอน: 1.วิเคราห์ความต้องการ 2.กำหนดสัดส่วนเงินลงทุน 3. เลือกลงทุนตามเป้าหมาย 4. ติดตามและปรับกลยุทธ์ 5. รายงานสถานการณ์ลงทุน) ที่สำคัญควรกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนด้วย เท่านี้ก็อาจช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินของเราได้
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนอะไรก็แล้วแต่ อย่าลืมศึกษาก่อนการลงทุนทุกครั้งนะ
Comentarios