top of page
รูปภาพนักเขียนinvestcorner1

จะทำกำไรอย่างไร เมื่อ “ตลาดหุ้น” อยู่ในช่วงขาลง



ใครที่เพิ่งเริ่มเข้ามาลงทุนใน “ตลาดหุ้น” คงจะมึนหัวไม่น้อย​ ​โดยเฉพาะ​ผู้ที่เริ่มเข้ามาเมื่อช่วงปลายปี​ 2561​ หรือต้นปี​ 2562​ ซึ่งช่วงนั้นเป็นตลาดกระทิง​ เวลาย่อตัวลงมาพักก็กลับขึ้นไปทุกครั้ง​ บรรยากาศ​ของคนเล่นหุ้นดูชื่นมื่น​ มองไปทางไหนก็พอร์ต​เขียวกันหมด แต่เเล้วหลังจากที่​ SET​ ทำจุดสูงสุด​ซึ่งคือ​ All time high ไปที่​ 1,852​ จุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์​ 2561​ “ตลาดหุ้น” ก็ลดลงอย่างต่อเนื่องและเด้งขึ้นไปเป็นระยะ​

รู้กันไหมว่า จากเดือนกุมภาพันธ์​ ปี 2561​ SET Index อยู่ที่ 1,852​ จุด​​ SET จนมาถึงตอนนี้เดือนมีนาคม 2563 ปรับตัวลดมาเเล้วทั้งสิ้น​ 512​ จุดหรือคิดเป็น​เกือบ​ 28% (คำนวณจากราคาปิด​ ณ​ วันที่​ 28​ กุมภาพันธ์​ 2563) แล้วถ้านับเฉพาะในปีนี้​ SET Index​ ปรับตัวลงทั้งสิ้น​ 255​ จุดหรือคิดเป็นประมาณ​ 16% แล้ว​


เห็นแบบนี้เเล้วอย่าเพิ่งท้อ​ ไม่อยากลงทุน​กันนะ​ ในทุกความมืดย่อมมีมุมที่แสงสว่างลอดเข้ามาถึงเสมอ​ ขึ้นอยู่กับ​ว่าเราจะหาเจอมั้ยเท่านั้นแหละ​ วันนี้พี่ทุยขอแนะนำวิธีการรับมือกับตลาดหุ้นขาลงอย่างการ​ “Short” ​และ “Put” เป็นวิธีการทำกำไรขาลงหรือการช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตได้เป็นอย่างดี


การ​ Short​ และ​ Put คืออะไร ?

หลักการซื้อขายหุ้นปกติ​โดยทั่วไปก็คือซื้อถูกขายแพงหรือแม้กระทั่ง​การซื้อแพงแล้ว แต่ไปขายแพงกว่า​ แต่การ “Short” หรือ “Put” ก็คือสิ่งตรงกันข้ามที่อยู่อีกขั้ว​ คือการที่เรามองว่าหุ้นตัวนี้ราคาน่าจะปรับตัวลง ​และเมื่อราคาปรับลง​ตามที่เราคาดการณ์ไว้ เราก็จะได้กำไรจากการปรับตัวลงของราคา​

เช่น​ เราวิเคราะห์​ว่าหุ้น​ Kbank​ จะปรับตัวลดลงอย่างแน่นอน​ จึงซื้อ “Short” หรือ “Put” ทำกำไรในทางลงมาตั้งเเต่หุ้น​ Kbank มีราคา​ 145​ บาท​ เมื่อวันศุกร์​ที่​ 28​ กุมภาพันธ์​ที่ผ่านมา​ หุ้น Kbank มีราคาปิดอยู่ที่​ 119 บาท​ เราก็จะได้กำไรเป็นส่วนต่างของราคาที่ลดลง​ 26​ บาทนี้ จะได้กำไรมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอนุพันธ์​ที่ใช้ในการทำกำไร​ เช่น​ อัตราดอกเบี้ย​ ค่าเสื่อมเวลา​ อัตราทด


การ​ Short​ และ​ Put สามารถทำผ่านอะไรได้บ้าง ?


1. การชอร์ต​หุ้น ​(Short Sell)

เราสามารถทำกำไรได้​ โดยการยืมหุ้นของนักลงทุน​คนอื่นมา “ขาย”​ ผ่านบริการ​ Securities Borrowing and Lending (SBL) หรือที่เราจะนิยมเรียกกันว่า Short Sell

ซึ่งถ้าใครจะทำ Short Sell เนี่ย​ จะต้องใช้งานบัญชีการลงทุนหลักทรัพย์​ประเภท​ Margin หรือ​ Credit Balance เท่านั้น​ ง่าย ๆ ก็คือบัญชีที่ใช้เงินกู้เล่นได้ซึ่งแน่นอนว่าการกู้ยืมย่อมมีดอกเบี้ย​ แปลว่าเมื่อทำการ Short Sell ต้นทุนในการยืมหุ้นมาขายก็จะเท่ากับอัตราดอกเบี้ยที่จ่ายให้ผู้ที่เราซื้อหุ้นมารวมถึงค่าธรรมเนียมที่เราต้องจ่ายให้ทางโบรกเกอร์


สำหรับคนที่ไม่ถนัดทำ Short Sell เอง แต่ก็มีหุ้นอยู่ในพอร์ตเหมือนกันสามารถเปิดให้นักลงทุน​คนอื่นยืมหุ้นเราแทน ก็จะได้รับค่าตอบแทนเป็นดอกเบี้ยนั้นเอง


2. Derivative Warrant (DW)

DW เป็นที่นิยมในการใช้เก็งกำไรในตลาดขาลงมาก​ที่สุดตัวหนึ่ง เพราะมีความสะดวกสูงที่สุด เพราะเราสามารถซื้อขายได้ในกระดานซื้อขายหุ้นปกติ ง่าย ๆ เลยนะ ใครที่มีบัญชีหุ้นอยู่แล้วก็สามารถซื้อได้ทันที ไม่ต้องเปิดบัญชี​ซื้อขายอนุพันธ์​ในตลาดซื้อขายล่วงหน้า​ให้วุ่นวาย แล้วข้อดีที่สุดของ DW ก็คือยังใช้เงินลงทุนน้อย​กว่า และมีโอกาสได้กำไรมาก จากการมีอัตราทด (Leverage)​ การทำกำไรในขาลงของ​ DW​ เราจะเรียกว่า​ PUT

พี่ทุยแนะนำว่าใครจะใช้ DW ทำกำไรช่วงขาลง ต้องศึกษาการดู “ตาราง” อัตราถด ค่าเสื่อมต่าง ๆ ด้วย เพราะถือว่าเป็นสินค้าตัวหนึ่งที่มีความเสี่ยงสูง แน่นอนว่าช่วยทำกำไรได้เร็ว ก็ทำให้เราขาดทุนเร็วเช่นกัน


3. ตลาดซื้อขายสัญญาล่วงหน้า​ (Future)

Future ถือว่าเป็น “สัญญาซื้อขายล่วงหน้า” ที่อยู่ในตลาดอนุพันธ์ ​ถ้าต้องการใช้ Future ทำกำไรเราจะต้องเปิด “บัญชีซื้อขายสัญญา​ล่วงหน้า​” เพิ่มซึ่งจะเป็นบัญชีที่แยกจากบัญชีหุ้นปกติทั่วไปก่อน​

การทำกำไรตลาดขาลงผ่าน Future สามารถทำได้หลายวิธีเพราะ Future มีหลากหลายประเภท​ เช่น​ Single​ Stock​ Future (SSF) หรือจะใช้ SET50 Future อย่างช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลง


– Single Stock Future หรือ​ SSF​ โดยนักลงทุน​ที่ต้องการเล่นเก็งกำไรใน SSF หุ้นที่มี​ SSF จะจำกัดอยู่แค่เฉพาะหุ้นที่กิจการมีขนาดใหญ่เท่านั้น​

การเล่น​ SSF​ จะต่างไปจากหุ้น​ ตรงที่เวลาเล่นหุ้น​ เราสามารถซื้อขั้นต่ำในกระดานปกติได้​ 100 ตัว (สำหรับหุ้นที่ราคาเกินตัวละ 500 บาทซื้อขั้นต่ำที่​ 50​ ตัว)​ แต่การเล่น​ SSF​ เมื่อทำการซื้อขาย​ 1 ครั้ง​ จำนวนขั้นต่ำคือ​ 1 สัญญา​ซึ่งเท่ากับการซื้อหุ้น​ 1,000​ ตัว​

ปัญหาของ​ SSF​ ที่น่าหนักใจ​คือ​ การที่ไม่ค่อยมีสภาพคล่องในการซื้อขายเท่าไหร่​สักเท่าไหร่ เมื่อไม่ค่อยมีคนมาซื้อขาย​ Bid-Offer จึงค่อนข้างจะถ่าง​ เช่น​ หุ้น​ AOT​ ณ​ ปัจจุบัน​มีราคา​ 60.00 บาท​ ในช่วงราคานี้​ 1 ช่องจะเท่ากับ​ 0.25 สตางค์​ ในกระดานหุ้นปกติ​ ราคา Bid-Offer จะมีช่วงห่างที่​ 0.25​ สตางค์​เป็นปกติ​ แต่​ SSF​ อาจจะกระโดดห่างเป็น​ 0.50 หรือ​ 0.75 ส​ตางค์​บ้างในบางช่วง​ ส่งผลให้ซื้อไม่ง่ายขายไม่คล่อง ทำให้คนไม่ค่อยนิยมสักเท่าไหร่


– SET50​ FUTURE​ เป็นที่นิยมมากที่สุดเนื่องจากมีสภาพคล่องที่สูง​ มีให้เลือกเทรดหลายซีรี่ส์และหมดอายุตามเดือนต่าง ๆ​ ในปี​​ โดยซีรี่ส์​ H​ จะหมดอายุเดือนมีนาคม​ ซีรี่ส์​ M​ จะหมดอายุเดือนมิถุนา​ยน​ ซีรี่ส์​ U จะหมดอายุเดือนกันยายน​ ซีรี่ส์​ Z จะหมดอายุ​เดือนธันวา​คม

พี่ทุยเตือนตรงนี้ไว้ก่อนว่าการใช้ Future นี้ มีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องศึกษา​ก่อนลงทุนหลายอย่าง​ เช่น​ หลักประกันขั้นต่ำ (Intial margin หรือเรียกกันสั้น ๆ​ ว่า​ IM)​ หลักประกัน​รักษาสภาพ (Maintenance Margin หรือเรียกสั้น ๆ​ ว่า​ MM) การโดนเรียกหลักประกันเพิ่มเติม (Margin Call) การโดนบังคับขาย​ (Force sell) ตรงนี้เดี๋ยว​พี่ทุยอธิบายเพิ่มเติมให้อีกที


เปรียบเทียบวิธีต่าง ๆ​ ในการทำกำไรขาลง


แต่ขอย้ำก่อนว่า​ “ทุกการลงทุน​มีความเสี่ยง​ โปรดอย่าลำเอียงก่อนตัดสินใจ​” ก่อนที่จะเข้าลงทุนในผลิตภัณฑ์​พวกนี้​ ผู้ลงทุน​ควรมีความรู้​ความเข้าใจ​ในตัวผลิตภัณฑ์​และมีหลักการหรือระบบที่ใช้ในการตัดสินใจ​ที่เหมาะสม​นะ​ เพราะผลิตภัณฑ์​พวกนี้มักจะมีอัตราทด (Leverage)​ การทำกำไรในตลาดขาลงก็เหมือนกับการทำกำไรในตลาดขาขึ้นนั่นแหละที่มีโอกาสจะขาดทุน​ได้มากเช่นเดียวกันถ้าออกมาผิดทาง​จากที่เราคาดการณ์ อาจจะหมดตัวหรือบางคนเป็นหนี้เลยก็มีเหมือนกัน​ เพราะฉะนั้น​อย่าลืมว่าผลตอบแทนสูงบ่อยครั้งจะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงด้วย​ ถ้าจะทำกำไรขาลงห้ามลืมการบริหารความเสี่ยงได้ด้วยระบบที่ดีและการจัดการเงิน (Money​ Management) ที่เหมาะสมทุกครั้งนะ

ดู 6 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด

Comments


bottom of page